ไก่ป่า

  ไก่ป่า

ไก่ป่าเป็นต้นตระกูลของไก่บ้าน

มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus (Linnaeus)
อยู่ในวงศ์ Phasianidae
มีชื่อสามัญว่า red jungle fowl
มีถิ่นกำเนิด แถบเอเชียใต้ (ศรีลังกาและอินเดีย) มาทางตะวันออก จนถึงหมู่เกาะมลายู

ไก่ป่าที่พบในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียวคือ Gallus gallus (Linnaeus) ชนิดนี้มีหน้าสีแดง ไม่มีขน หงอนสีแดง มีเหนียงสีแดงและติ่งหูอย่างละคู่ ขนบริเวณคอ หลัง ถึงสะโพกมีสีส้ม ขนปีกสีเขียวเป็นมันขลิบสีส้มใต้ท้องสีน้ำเงินดำ หางโค้งลาด ปลายพริ้ว สีเขียวแซมดำและสีน้ำเงินเข้มเป็นมัน ความยาวของตัววัดจากปลายปากถึงปลายหางราว ๖๐ เซนติเมตร ตัวผู้หนัก ๘๐๐ – ๑๓๐๐ กรัม ไก่ป่าตัวผู้มีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากนกอื่นๆ คือ
๑.มีหงอนบนหัวที่เป็นเนื้อ ไม่ใช่หงอนที่เป้นขน
๒.มีเหนียงเป็นเนื้อห้อยลงมาทั้งสองข้างของโคนปากและคาง
๓.มีหน้าและคอเป็นหนังเกลี้ยงๆ  ไม่มีขน
๔.โดยทั่วไปขนตามตัวมีสีงดงาม มีขนหาง ๑๔ – ๑๖ เส้นตั้งเรียงกันเป็นสันสูงตรงกลาง คู่กลางยาวกว่าคู่ อื่น ปลายแหลมและอ่อนโค้ง เรียก หางกะลวย
๕.แข้งมีเดือยข้างละอันเป็นอาวุธ
ไก่ป่าตัวเมียมักมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ ขนไม่งดงาม สีไม่ฉูดฉาด แข้งไม่มีเดือย หงอนและเหนียงเล็กมาก หรือบางตัวเกือบไม่มีเลย ไก่ป่าอาศัยตามพุ่มไม้เล็กๆในป่าทั่วไป บินได้เร็ว แต่ในระดับต่ำๆ และระยะทางสั้นๆ ตามปรกติอยู่เป็นฝูงใหญ่ทั้งตัวผู้และตัวเมียรวมกันราว ๕๐ ตัว แต่จะแยกเป็นฝูงเล็กๆ ในฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งตัวผู้ต้องต่อสู้กันเพื่อครอบครองพื้นที่และแย่งชิงตัวเมียกันตัวละ ๓ – ๕ ตัว หลังผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะทำรังเป็นหลุมตื้นๆบนพื้นดินหรือบนกองใบไม้แห้งๆในที่ปลอดภัย  แล้ววางไข่คราวละ ๕ – ๖ ฟอง ไข่สีขาวหรือน้ำตาล ใช้เวลาฟักประมาณ ๒๑ วัน ลูกไก่ป่าอายุ ๘ วันก็เริ่มบินเกาะตามกิ่งไม้ได้ และเมื่ออายุประมาณ ๑๐ วัน ก็เริ่มบินได้ในระยะทางสั้นๆ

 

ไก่ป่าที่พบในประเทศไทยมี ๒ ชนิดย่อย คือ

๑. ไก่ป่าติ่งหูขาว หรือ ไก่ป่าอีสาน (Cochin Chinese red jungle foml) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus gallus (Linnaeus) มีติ่งหูสีขาว พบมากทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
๒. ไก่ป่าติ่งหูแดง หรือ ไก่ป่าพันธุ์พม่า (Burmese red jungle fowl) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gallus gallus  spadiceus (Bonnaterre) มีติ่งหูสีแดง พบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้

 

ประโยชน์ทางยา

โบราณไทยใช้ตับไก่เป็นทั้งอาหารและเป็นยา  ตำราสรรพคุณยาโบราณบันทึกไว้ว่า  ตับไก่ใช้แก้โรคตาฝ้าตาฟาง ปัจจุบันเพิ่งรู้ว่าโรคนี้เกิดจากการขาดวิตามินเอ ซึ่งพบได้มากในตับไก่ แพทย์แผนไทยรู้จักใช้เปลือกไก่ฟัก ไข่แดง ตับไก่ และเล็บไก่ป่า เป็นเครื่องยามาช้านานแล้ว ตำราโบราณว่า ไข่แดงมีรสมัน คาว มีสรรพคุณบำรุงกำลังสร้างความเจริญให้แก่ร่างกาย ตับไก่มีรสมัน คาว มีสรรพคุณบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง บำรุงร่างกายให้แข็งแรง แก้โรคตาฝ้าตาฟาง และเล็บไก่ป่าใช้แก้พิษไข้ ไข้กาฬ ไข้หัวทุกชนิด นอกจากนั้นไข่ขาวยังใช้เป็นตัวยาปรุงแต่งทางเภสัชกรรมสำหรับทำยาขี้ผึ้ง ดังที่ปรากฏในยาขนานที่ ๗๙ ใน ตำราพระโอสถพระนารายณ์ ดังนี้

ขนานหนึ่ง ให้เอา พิมเสน ๒ สลึง การบูร ๓ สลึง มาตะกี่ ๕ สลึง ชันตะเคียน กำยาน สิ่งละ ๗ สลึง สีผึ้งขาว ๑๐ ตำลึง น้ำมันมะพร้าวอันใหม่ดีนั้นครึ่งทนาน เคี่ยวขึ้นด้วยกันให้สุกดี  แล้วกรองกากออกเสีย เอาไว้ให้เย็น จึงเอาไข่ไก่ เอาแต่ไข่ขาว ๒ ลูก เอาสุรากลั่นประมาณจอกหนึ่ง กวนกับไข่ให้สบกันดี แล้วจึงแบ่งออกให้เป็น ๓ ภาคๆหนึ่งนั้น เอาน้ำทะแลงไซ้ ๓ สลึง การบูร ๓ สลึง กวนเข้าด้วยกันให้สบดีแล้ว เป็นสีผึ้งแดง จึงเอาสีผึ้งขาวภาค ๑ นั้น มากวนด้วยจุณสีพอควร เป็นสีผึ้งเขียว ภาคหนึ่งเป็นสีผึ้งขาว ปิดแก้พิศม์ แสบร้อนให้เย็น

  

รูปภาพจาก:hbw.com,bloggang.com